

สวัสดีครับ ผมชื่อโจ้นะครับ :D ผมเป็นคนที่รักการเดินทางมากๆ โดยเฉพาะการเทรคกิ้ง ซึ่งแน่นอนว่าการเทรคกิ้งบางที่นั้นมีระยะการเดินทางที่ไกลและเหนื่อยมาก แต่เมื่อผมได้พบกับธรรมชาติระหว่างทาง และได้พบปะเพื่อนนักเทรคกิ้งคนอื่นๆ กลับทำให้ผมมีความสุขและสนุกไปกับมัน และลืมความเหนื่อยไปเลย ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ โจทย์ที่ผมได้รับก็คือ #TrueNature โดยการเดินทางของผมจะเป็นอย่างไร ฝากติดตามกันด้วยนะครับ : )


หลังจากที่เดินไปได้สักพัก ผมก็แวะถ่ายภาพความงามของภูเขาไฟทั้งสองลูกครับ โดยภูเขาไฟด้านซ้ายคือภูเขาไฟ Rinjani และด้านขวาลูกเล็กคือภูเขาไฟ Barujari โดย Rinjani นั้นเป็นภูเขาไฟที่สูงเป็นอันดับสองของอินโดนีเซีย ในอดีตได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้บางส่วนยุบตัวลงเป็นทะเลสาบที่เราเห็นกันคือ Segara Anak และบางส่วนก็ได้กลายเป็นภูเขาไฟ Barujari ที่อยู่ทางด้านขวานั่นเองครับ
สวัสดีครับทุกๆท่าน :D การเดินทางครั้งนี้ผมได้รับโจทย์ #TrueNature ซึ่งเป็นการเดินทางเพื่อสัมผัสความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติรอบๆตัว ผมได้เลือกไปเทรคกิ้งที่ภูเขาไฟ Rinjani ในประเทศอินโดนีเซีย สาเหตุที่เลือกไปที่นี่เพราะเห็นภาพภูเขาไฟดังกล่าวในอินเตอร์เน็ตซึ่งมีความสวยงามมากๆ ทำให้ผมอยากไปพิชิตยอดภูเขาไฟนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต : ) โดยการเดินทางนั้นเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 5 วันครับ
การเทรคกิ้งจะใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมด 3 วันดังนี้ครับ วันที่ 1: เดินทางจากเมือง "Sembalun" (หมายเลข 1) ไปยังจุดตั้งแคมป์ริมปล่องภูเขาไฟ "Sembalun Crater Rim" (หมายเลข 2) วันที่ 2: ตื่นเวลาตี 2 เพื่อที่จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขา Rinjani (หมายเลข 3) จากนั้นจึงลงไปตั้งแคมป์ที่ริมทะเลสาบ "Segara Anak" (หมายเลข 4) วันที่ 3: เดินทางขึ้นไปจุดตั้งแคมป์ริมปล่องภูเขาไฟ "Senaru Crater Rim" ก่อนที่จะลงไปยังเมือง "Senaru" (หมายเลข 5)
รุ่งเช้าของการเทรคกิ้งวันแรก ในขณะที่ผมกำลังงัวเงียอยู่บนเตียง ผมได้ยินเสียงคล้ายๆ กับฝนตกด้านนอกที่พัก ผมจึงรีบตื่นออกมาดูทันที สภาพอากาศที่เห็นนั้นต้องบอกเลยว่าแย่มากๆ เมฆเทาครึ้มปกคลุมทั่วเมือง อีกทั้งฝนยังตกหนัก เจ้าของที่พักบอกว่า ช่วงนี้อากาศแปรปรวนมาก บางวันแดดออก บางวันฝนตก บางวันก็มีเมฆมาก ณ เวลานั้น ผมยืนคิดในใจว่า "ซวยแล้ว" "จะได้ออกเดินทางไหมเนี่ย?!" ทุกสิ่งวนเวียนเข้ามาในหัวไม่ขาดสาย ฮ่าๆ แต่สุดท้าย ฝนก็หยุดลง ผมจึงรีบเก็บของและออกเดินทางทันที พร้อมกับลูกหาบคู่ใจ 1 คน : D
ในขณะที่ฝนกำลังเริ่มซาลง ผม ณ ขณะนั้นก็กำลังเดินขึ้นเขาอย่างขะมักเขม้น ตัวเปียกชุ่มเนื่องจากอากาศด้านในระบายออกมาไม่ได้เพราะใส่เสื้อกันฝนทับไว้ อีกทั้งยังหายใจถี่เนื่องจากความเหนื่อย ผมจึงหยุดพักและหันกลับไปมองเส้นทางที่ได้เดินผ่านมา สิ่งที่เห็นคือเมฆฝนสีเทาครึ่มกำลังไล่ตามมาอีกระลอก ผมจึงต้องหันกลับไปเดินต่อเพื่อไปให้ถึงด้านบนก่อนที่ฝนจะตกอีกครั้ง
หลังจากที่ขึ้นมาถึงจุดตั้งแคมป์แล้ว ผมและฮาซาน (ลูกหาบ) ก็รีบกางเต้นท์ทันที สภาพอากาศต้องบอกเลยว่าแย่มากๆ ในขณะที่พักในเต้นท์นั้น ผมก็ได้ถามฮาซานว่า ถ้าอากาศแปรปรวนขนาดนี้ เมื่อขึ้นไปถึงยอดแล้วเราจะมองเห็นอะไรไหม ฮาซานก็ตอบทันทีว่าไม่เห็นแน่นอน แต่ฮาซานก็บอกเสริมอีกว่า สภาพอากาศในวันพรุ่งนี้อาจจะดี ซึ่งยังไงต้องตื่นมาดูอีกทีตอนช่วงตี 2 ซึ่งเป็นช่วงที่เราต้องตื่นเพื่อที่จะเดินขึ้นไปยังยอดเขา Rinjani นั่นเอง
ช่วงเวลาตี 2 ของวันถัดมา ผมและฮาซานก็ได้ลุกขึ้นมาเช็คสภาพอากาศ ซึ่งฟังจากเสียงที่ได้ยินก็สามารถเดาได้เลยครับว่า ฝนตกอีกแล้ว! T ^ T ซึ่งฮาซานก็ถามผมว่า อยากจะขึ้นไหม ณ ขณะนั้นผมก็นอนคิดว่า เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วต้องไปเห็นอะไรแน่นอนจากสภาพอากาศแบบนี้ ผมจึงบอกฮาซานว่าถ้าอย่างนั้นตอนซักประมาณ 6 โมงเช้าค่อยตื่นมาเช็คสภาพอากาศอีกรอบดีกว่า ถ้าฟ้าเปิดแล้วค่อยขึ้นก็ยังไม่สาย ซึ่งเมื่อพวกเราตื่นมาอีกทีตอน 6 โมงสภาพอากาศก็ยังเป็นเช่นเดิมครับ คือหมอกลง ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนเดินลงไปยังทะเลสาบ Segara Anak แทน
ในขณะที่เดินลงไปยังทะเลสาบนั้น ฝนก็ตกลงมาอีกครั้ง เมื่อถึงที่หมายแล้ว พวกเราต้องรีบกางเต้นท์และเอาสัมภาระทั้งหมดใส่เข้าไปในเต้นทันที ผมพบว่าเสื้อผ้าทุกอย่างในเป้นั้นเปียกหมดทุกตัว ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะเมื่อวานผมเอากระเป๋าไปติดกับผ้าเต้นท์ และตอนกลางคืนฝนตก ทำให้น้ำค่อยๆซึมผ่านผ้าเข้ามาและซึมเข้าไปในกระเป๋าอีกที สภาพ ณ ตอนนั้นต้องบอกเลยว่าชุ่มฉ่ำมากเลยครับ ฮ่าๆ ผมได้แต่ภาวนาให้อากาศวันพรุ่งนี้นั้นท้องฟ้าเปิด และขอให้ได้เห็นภูเขาไฟถึงแม้จะแค่เศษเสี้ยวหนึ่ง ได้กระทบกับแสงแดดอุ่นๆ แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
รุ่งเช้าวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเทรคกิ้ง เมื่อผมตื่นขึ้นมาและออกมานอกหน้าเต้นท์ ผมถึงกับอุทานออกมาเบาๆ "ในที่สุด" สภาพอากาศวันนี้แตกต่างจากวันอื่นโดยสิ้นเชิง ภาพที่เห็นคือ ท้องฟ้าโปร่ง บวกกับแสงแดดรุ่งอรุณที่ส่องกระทบกับภูเขาไฟและทะเลสาบ ทุกอย่างนั้นสวยงามมากจริงๆ ครับ หลังจากที่ชมความงามได้สักพักแล้ว พวกเราก็รีบเก็บสัมภาระ ก่อนที่จะออกเดินทางขึ้นไปยังจุดตั้งแคมป์ริมปล่องภูเขาไฟ ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังจุดหมายสุดท้ายคือเมือง Senaru
หลังจากที่เดินไปได้สักพัก ผมก็แวะถ่ายภาพความงามของภูเขาไฟทั้งสองลูกครับ โดยภูเขาไฟด้านซ้ายคือภูเขาไฟ Rinjani และด้านขวาลูกเล็กคือภูเขาไฟ Barujari โดย Rinjani นั้นเป็นภูเขาไฟที่สูงเป็นอันดับสองของอินโดนีเซีย ในอดีตได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้บางส่วนยุบตัวลงเป็นทะเลสาบที่เราเห็นกันคือ Segara Anak และบางส่วนก็ได้กลายเป็นภูเขาไฟ Barujari ที่อยู่ทางด้านขวานั่นเองครับ
หลังจากที่พวกเราเดินขึ้นไปถึงจุดตั้งแคมป์ Senaru Crater Rim แล้ว สิ่งที่ผมเห็นก็คือเมฆลอยครึ้มมาอีกแล้วครับ ฮ่าๆ แต่ยังไงผมก็ยังแอบขอบคุณสภาพอากาศในใจนะ ที่อย่างน้อยก็ยังได้เปิดโอกาสตอนช่วงเช้าให้ผมได้เห็นความงดงามของมัน ถึงแม้จะแค่เป็นช่วงสั้นๆก็ตาม ซึ่งผมได้นั่งรอประมาณ 10 นาที เพื่อลุ้นว่าท้องฟ้าจะเปิดอีกครั้งหรือไม่ แต่สุดท้ายเมฆก็มาเยอะกว่าเดิม ผมจึงต้องตัดใจออกเดินทางลงไปยังเมือง Senaru ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายในการเทรคกิ้งครั้งนี้ ก่อนที่วันพรุ่งนี้จะเดินทางกลับประเทศไทยครับ